Sunday, May 13, 2018

HALF PART OF YOU, HALF PART OF ME (2018, Nattapon Jomjun, A+30)

HALF PART OF YOU, HALF PART OF ME (2018, Nattapon Jomjun, A+30)

ดูหนังแล้ว ชอบมากๆเลยครับ ดูแล้วมีความเห็นดังต่อไปนี้

1.นึกว่าเป็น Robert Bresson + Andrei Tarkovsky 555 ชอบมากๆที่หนังเหมือนเล่าเรื่องด้วยวิธีการที่ mimimal + ellipsis มากๆ ซึ่งจุดนี้ทำให้นึกถึง Robert Bresson และมันมีความหลอนๆ spiritual ที่ทำให้นึกถึง Tarkovsky ด้วย

2.ดูแล้วก็ไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่ถ้าให้จินตนาการเนื้อเรื่องเอาเองจากที่ได้ดูมา พี่ก็เข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในหนังก็คือ มันเป็นเรื่องของครอบครัวแม่กับลูกสาวลูกชาย ครอบครัวนี้ยังอยู่ด้วยกันในช่วงปี 2010 เพราะพี่เดาว่าเสียงผู้นำการชุมนุมสั่งยุติการชุมนุมน่าจะเป็นเสียงจากปี 2010 หลังจากนั้นพี่สาวก็หนีไป และน่าจะมีสามีที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะดีประมาณนึง (สังเกตได้จากบ้านของแม่สามี) และสามีอาจจะทำงานอะไรบางอย่างที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ อย่างเช่นงานประเภท graphic designer แต่ต่อมาสามีก็เสียชีวิตกะทันหัน นางเอกก็เลยไปงานศพ เอาอัฐิไปปล่อย พูดคุยกับแม่สามี เธอตากเสื้อยืดของสามี คิดถึงเขา หลับฝันถึงเขา วิญญาณของเขาเหมือนจะมาอำลาเธอ เธอต้องทำงานเป็นคนล้างจานในโรงอาหารหรือร้านอาหารอะไรสักอย่าง ชีวิตเธอคงยากลำบาก เธอก็เลยทำแท้ง และอาจจะตัดสินใจกลับบ้าน โดยเหตุการณ์ช่วงงานศพสามีนี้เกิดขึ้นในช่วงราวเดือนต.ค. 2016 ส่วนตัวน้องชายนั้นก็คิดถึงพี่สาวเหมือนกัน โดยเฉพาะตอนที่เขาตากเสื้อยืดที่พี่สาวเคยใส่ในวันที่บอกให้น้องชายดูสิวที่ด้านหลังให้

3.ดูแล้วก็ไม่รู้ว่าเข้าใจเนื้อเรื่องถูกต้องหรือเปล่า เพราะหนังเล่าเรื่องแบบ Robert Bresson มากๆ ซึ่งถือว่าดี เพราะแทบไม่เคยเจอหนังไทยเรื่องไหนใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบนี้มาก่อน และคิดว่าน้องคงตั้งใจให้หนังออกมาพิศวงแบบนี้อยู่แล้ว

คือถ้าน้องตั้งใจให้คนดู “รู้เรื่อง” มากกว่านี้ มันก็ทำได้นะ แต่คิดว่าคงไม่ใช่จุดประสงค์ของน้อง 555

อย่างตอนแรกที่ดู จะนึกว่านางเอกไปงานศพของพ่อ และพูดคุยกับแม่ของตัวเอง เพราะในหนังเราแทบไม่ได้ยินเสียงพูดคุยของนางเอกกับผู้หญิงวัยกลางคนเลย เราก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วความสัมพันธ์ของสองคนนั้นเป็นอะไรกัน และหนังก็ไม่บอกเลยว่านางเอกตั้งท้อง แต่อยู่ดีๆก็มีฉากนอนถ่างขาเลย เราก็เลยต้องจินตนาการเอาเองว่านางเอกคงท้องแล้วไปทำแท้งเพราะผัวตาย+ชีวิตยากลำบาก 555

ช่วงที่เป็นชีวิตน้องชายกับแม่ก็พิศวงมาก เพราะหนังตัดสลับไปมาระหว่างอดีต,ปัจจุบัน, ความจริง, ความฝัน อย่างฉากที่เหมือนมีนางเอกใส่ชุดดำมายืนที่ระเบียง ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร คือเห็นแว่บแรกนึกว่าความจริง แต่พอดูหมดทั้งเรื่องแล้วก็เดาว่ามันอาจจะเป็นความฝันหรืออะไรก็ได้ 555

4. setting ช่วงครึ่งหลังดูแปลกมาก ที่เป็นห้องที่มีแต่กระดาษหนังสือพิมพ์ปูไว้ และมีเก้าอี้สำหรับลูกค้าตัดผม และใช้เป็นสถานที่ตากผ้า เราว่ามันดู surreal ดี

5.ชอบความคล้องจองกันเรื่องการตากเสื้อยืดแล้วคิดถึงคนที่จากไปแล้ว ที่เกิดขึ้นทั้งในครึ่งแรกและครึ่งหลัง

6.รู้สึกว่ามีอยู่สองช็อตที่ดูสวยแบบประดิษฐ์เกินไป ซึ่งได้แก่ช็อตที่เหมือนโรยข้าวตอกหรืออะไรสักอย่างลงบนกระจาดในช่วงต้นเรื่องด้วยจังหวะ slow motion กับช็อตโปรยอัฐิลงแม่น้ำ แต่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่อะไร

7.ชอบการที่หนังเน้น “บรรยากาศ” อย่างเช่นฉากนางเอกคุยกับแม่ผัว ที่หนังไปเน้นที่ตัวบ้าน โดยที่เราแทบไม่ได้ยินเสียงสนทนาเลย, ฉากแรกของช่วงครึ่งหลัง ที่ถ่ายให้เราเห็นหมู่ตึกอาคารโทรมๆกลุ่มหนึ่ง และฉากหวดนึ่งข้าวเหนียวที่ส่งควันตลบอบอวล (เราว่าฉากนี้ดู Tarkovsky มากที่สุด)

8.การเชื่อมโยงกับประเด็นการเมืองดูน่าสนใจดี เหมือนน้องชายเป็นเสื้อแดง แล้วพี่สาวเป็นอีกฝ่าย 555 แต่ถ้าดูแบบไม่ตีความ การใส่ voice เหตุการณ์ทางการเมืองเข้ามาในหนัง ก็ช่วยในการ “บอกเวลา” ว่าเหตุการณ์ไหนเกิดก่อนเกิดหลัง เพราะหนังเล่าเรื่องแบบไม่เรียงตามลำดับเวลา

9.สรุปว่าชอบสุดๆ และไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะต้องแก้ไขอะไรดี แนะนำว่าควรส่งมางาน Filmvirus Wildtype และส่งงานเทศกาลหนังสั้นด้วย แต่ถ้าจะส่งเทศกาลต่างประเทศอาจจะติดปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์หนังจีนเก่าที่ปรากฏอยู่ในหนัง คือจริงๆพี่คิดว่าหนังเรื่องนี้ดีพอที่จะลองส่งเทศกาลต่างประเทศได้ แต่คงต้องเปลี่ยนหนังที่ฉายจากหนังจีนเก่าเป็นหนังไทยเรื่องอะไรก็ได้ที่เราสามารถขอลิขสิทธิ์ได้ 555 แต่ถ้าหากน้องไม่ได้คิดจะส่งเทศกาลหนังต่างประเทศ ก็ไม่ต้องแก้ไขอะไรตรงจุดนี้

No comments: